พันธกิจของเรา
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับด้านที่ดีที่สุดของมนุษย์ – ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความหวังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า – เพื่อให้ทุกคนบนโลกใบนี้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับด้านที่ดีที่สุดของมนุษย์ – ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความหวังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า – เพื่อให้ทุกคนบนโลกใบนี้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
เรื่องราว ของเรา
พวกเรามักได้รับคำถามอยู่เสมอว่า “อะไรทำให้เรากล้าที่จะเริ่มสร้างบริษัทออมนี่เรส” และพวกเราคิดว่ามันคือ 3 สิ่งนี้

ผู้ก่อตั้งของเรา – Luke Heffernan (ซ้าย) และ Aaron Norman (ขวา)

สิ่งแรก เป็นเรื่องที่แน่นอนว่า องค์กรไม่แสวงผลกำไรต่างๆ (NGOs) กำลังต้องการความช่วยเหลือ กิจกรรมด้านการตลาดและการระดมทุนคือสิ่งสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงองค์กร อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีบริษัทตัวแทนใด ที่มีความมุ่งมั่นในการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือดังกล่าวที่มากพอแก่องค์กรเหล่านั้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นถิ่นฐานของประชากรเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรโลก ดังนั้นองค์กรไม่แสวงผลกำไรต่างๆ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุดกับงานต่างๆ ที่พวกเขาทำในภูมิภาคนี้

สิ่งต่อมาคือ วิสัยทัศน์ของพวกเราที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนี้ และสร้างการเติบโตที่มากยิ่งขึ้น ในจุดเริ่มต้นของออมนี่เรส พวกเราต้องการที่จะยกระดับและสร้างมุมมองต่อการระดมทุนที่แตกต่างออกไป หากเราลองดูรายชื่อบริษัทต่างๆ ซึ่งเป็นที่ยกย่องและยอมรับที่สุดในโลก เราจะพบว่าบริษัทส่วนใหญ่เหล่านั้นจะอยู่ในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีหรือแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นที่นิยม แต่ทำไมถึงไม่มีบริษัทใดในอุตสาหกรรมการระดมทุนอยู่ในรายชื่อเหล่านั้นบ้างล่ะ? ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงต้องการที่จะสร้างบริษัทที่ทุกคนรู้สึกรักและภูมิใจที่ได้ทำงานของพวกเขา รวมถึงร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้แก่โลกใบนี้

นอกจากนี้พวกเรายังได้รับการสนับสนุน เรามักได้ยินแนวคิดที่ว่า “จงอย่าทำธุรกิจกับเพื่อน” ซึ่งอาจเป็นความจริงสำหรับบางคนเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับผู้ก่อตั้งของพวกเรา ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมการระดมทุนด้วยกันมามากกว่า 15 ปี การเริ่มต้นธุรกิจอาจเป็นเรื่องที่ยากหากเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่งระหว่างทางที่สูงขึ้นไป แต่พวกเราเริ่มต้นทำงานนี้ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น

และนี่คือเรื่องราวของ ออมนี่เรส
เมษายน 2561
พฤษภาคม 2561
มกราคม 2562
มิถุนายน 2562
กันยายน 2562
มีนาคม 2563
เมษายน 2563
พฤษภาคม 2563
มิถุนายน 2563
กันยายน 2563
ธันวาคม 2563
กุมภาพันธ์ 2564
เมษายน 2564
มิถุนายน 2564

เปิดตัวในประเทศไทย ... ประชุมทีมครั้งแรก

เปิดตัวโครงการแรกร่วมกับ UNHCR และ UNICEF ที่กรุงเทพฯ

ขยายตัวสู่ตลาดที่สอง – ประเทศมาเลเซีย

เปิดออฟฟิศสาขาใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย!

จัดตั้งออฟฟิศในประเทศสิงคโปร์ จุดเริ่มต้นการดำเนินงานระดับภูมิภาคของพวกเรา!

เริ่มการล็อกดาวน์ในประเทศมาเลเซีย การทำงานภาคสนาม (Face-to-face) จึงต้องหยุดชะงัก แต่พวกเราโยกย้ายทีมงานสู่ทำการตลาดผ่านทางโทรศัพท์แทน

ประเทศไทยมีการล็อกดาวน์เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ แต่พวกเราสามารถปรับตัวเพื่อตอบรับความท้าทาย และสามารถรักษาพนักงานของเราไว้ได้ทั้งหมด รวมถึงยังสามารถทำงานเพื่อช่วยเหลือพาร์ทเนอร์ของเรา ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

เปิดตัวในประเทศฮ่องกง

ทีมการตลาดแบบดิจิตอล (Digital Marketing) เปิดตัวโครงการแรก

เปิดตัวทีมงานการตลาดทางโทรศัพท์ สำหรับประเทศออสเตรเลีย

เปิดตัวออมนี่กีฟ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ของพวกเราที่ช่วยเชื่อมต่อบริษัทเอกชนและองค์กรไม่แสวงผลกำไร ได้มากขึ้น

เปิดออฟฟิศใหม่ที่เมือง Sabah และ Sarawak ทางตะวันออกของประเทศมาเลเซีย

เปิดตัวออมนี่เรส ประเทศเกาหลีใต้

ขยายการดำเนินงานจากกรุงเทพฯ ไปรังสิต

ออมนี่เรส ณ ปัจจุบัน

พนักงาน

1

คน ทั่วเอเชีย

1

ประเทศ

สำนักงาน

1

แห่ง

การเข้าถึงผู้คนกว่า
1 ล้าน

คน ในแต่ละเดือน

การสร้างรายรับกว่า
1 ล้าน

ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี จากกิจกรรมการตลาดของเรา

พาร์ทเนอร์ ของเรา

ทีมของเรา

โครงการด้าน CSR ของเรา

Leave No One Behind

พวกเราทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนั่นรวมถึงงานด้านการช่วยเหลือสังคมของพวกเรา ด้วยการออกไปยังสถานที่ต่างๆ ที่อาจไม่ค่อยมีใครนึกถึง พวกเราเลือกที่จะให้ความช่วยเหลือแก่มูลนิธิท้องถิ่นขนาดเล็ก ซึ่งไม่ได้มีทรัพยากรหรือโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ ที่จะดำเนินงานด้านการตลาดและงานระดมทุนร่วมกับเรา

และงานด้านการช่วยเหลือสังคมของพวกเรานี่เอง ที่ทำให้พวกเรามุ่งมั่นที่จะเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดในทุกๆ วัน การเป็นเจ้าหน้าที่ระดมทุน ไม่ใช่เรื่องของการระดมทุนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ให้แก่ชีวิตของใครสักคนหนึ่ง และพวกเราต้องมั่นใจว่าพวกเราได้ทำสิ่งนั้นทุกวัน

CSR

การต่อสู้อย่างต่อเนื่องของเรา กับวิกฤติโควิด-19

ทีมมาเลเซียของเราอาสาสร้างโครงการ CSR เพื่อจัดหาอุปกรณ์และสิ่งของที่จำเป็นโดยร่วมมือกับ SUKA Society และ National Cancer Society Malaysia (NCSM) โครงการ CSR ทุก ๆ โครงการของเราถูกริเริ่มโดยคนของเรา เป้าหมายครั้งนี้คือการสนับสนุนทั้งเด็กและคนด่านหน้าในประเทศมาเลเซีย

สำหรับ Suka Society ปัญหาการขาดแคลนธนาคารอาหารสำหรับครอบครัวที่ยากจนและผู้ลี้ภัยที่มีรายได้ต่ำอาจเกิดจากการแพร่ระบาด เราได้จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ช่วยเหลือและดูแลสำหรับ COVID-19 ที่จำเป็นสำหรับเด็กและครอบครัว

สำหรับ NCSM เราต้องการสนับสนุน Children’s Home of Hope และ กลุ่มคนด่านหน้าที่ทำงานหนักเพื่อเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีน ด้วยการสนับสนุนที่จำกัด พวกเขาต้องการความช่วยเหลือเพื่อค้ำจุนและเลี้ยงดูครอบครัวที่ Home of Hope ดังนั้นเราจึงนำเสบียงที่จำเป็น เช่น ข้าวและอาหาร ยา หน้ากากอนามัย สมุดระบายสีสำหรับผู้ใหญ่ และอีกมากมาย เพื่อช่วยเหลือพวกเขา! โดยการแบ่งเบาภาระนี้ NCSM สามารถมุ่งเน้นการสนับสนุนสำหรับเด็กและผู้ดูแลของพวกเขาได้มากขึ้น

มาเลเซีย, พวกเราพร้อมฝ่าฟันไปกับคุณ

เราต้องการแสดงการสนับสนุนชาวมาเลเซียทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งล่าสุด การได้เห็นความพยายามอันน่าเหลือเชื่อของคนด่านหน้า ฮีโร่ในพื้นที่ประสบภัย และ NGO ต่าง ๆ ที่ทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อบรรเทาอุทกภัยสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเรา!

ในฐานะบริษัท เราได้พยายามทำในสิ่งที่สามารถทำได้ โดยให้เวลาลาฉุกเฉินกับพนักงานของเรา และจัดตั้งกองทุนบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินเพื่อให้พวกเขาเข้าถึงได้ โดยทุกคนที่ OmniRaise สามารถเข้าถึงกองทุนฉุกเฉินสำหรับครอบครัวเพื่อช่วยให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ได้โดยเร็ว

เรายังเลือกสนับสนุน Mercy Malaysia เพื่อมอบให้แก่กองทุนบริจาคของบริษัท 20,000 RM รวมกับการบริจาคส่วนตัวจำนวน 40,000 RM จากผู้บริหารของเรา Luke Heffernan และ Aaron Norman เพื่อสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ ทุกวันเราพึ่งพาความเอื้ออาทรของชาวมาเลเซียเพื่อสนับสนุนปัญหาที่เร่งด่วนของพารท์เนอร์ NGO ทั่วโลก – ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของเราแล้ว ที่จะขยายความเอื้ออาทรกลับไปยังชุมชนที่เราทำงานด้วย

เราหวังว่าการบริจาคของเราร่วมกับคนอื่น ๆ จะสามารถให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือได้ และร่วมกันทำให้มั่นใจได้ว่า “ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”